บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
12 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ใจยังสู้อยู่หรือเปล่า?






ทานตะวันบานสะพรั่งกลางท้องทุ่ง
ดุจดังความหวังและศรัทธาที่ทายท้า
เข้าฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการอย่างไม่หวั่นเกรง
แพ้หรือชนะในกาลข้างหน้า
จะเป็นเช่นไรสุดจะหยั่ง
แต่ใจที่สู้เกินร้อยยังเต็มเปี่ยม
วันคืนที่รอคอยจงนำทางข้าเถิด !!

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""



ความห่วงหาอาลัยของแม่ยังคงอยู่ในความทรงจำ
ไม่รู้ว่าจะตอบแทนคืนอย่างไรถึงจะหมด
ในยามที่ชีวิตรู้สึกสับสนและสิ้นหวัง
ชีวิตก็ได้รับการค้ำจุนช่วยเหลือเรื่อยมา
วันคืนที่ผ่านการหล่อหลอม
อาจทำให้จิตใจนั้นแข็งแกร่ง
แต่ในห่วงลึกก็ยังแฝงไว้ด้วยความอ่อนแอ
ทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร
ก็อยู่ที่การเดินทางของวันนี้
ที่เดินไปอย่างมีทิศทาง
และรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังจะเดินไปทางไหน?










บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่










ศรัทธา

หินเหล็กไฟ Never Say Die

ไม่มี ก็คงต้องมีสักวัน
ความฝันเป็นจริงต้องทนสู้ไป
ไม่นาน เราคงจะได้สมใจ
มุ่งมั่น ทุ่มเทเพียงใดกว่าจะได้มา

เส้นชัย ไม่มาต้องไปหามัน
รางวัล มีไว้ให้คนตั้งใจ
ขวากหนาม ทิ่มแทงก่อนผ่านพ้นไป
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย

(*) ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา
โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ

(ดนตรี)

ที่มา รู้ดีไม่รู้ที่ไป
คนเรา มันเลือกเกิดเองไม่ได้
แต่เรา เลือกได้จะเป็นเช่นไร
เลือกได้จะทำตามใจด้วยตัวของเรา
หลายคน เชื่อในเรื่องโชคชะตา
บางคน เชื่อมั่นในตัวเอง
ชีวิต เรากำหนดของเราเอง
จะแพ้ชนะไม่เกรงจะสักเท่าไร

(ซ้ำ * )

เรื่องราวมากมายบีบคั้น กายและใจโอนอ่อนหวั่นไหว
แต่ก็มีเหตุผลสำคัญ ให้บางคนยอมถอดใจ เย.......

(ดนตรี)
(ซ้ำ * )











ลิงทะโมน - Moo - Phonthep






Create Date : 12 กันยายน 2551
Last Update : 22 กันยายน 2552 10:14:06 น. 9 comments
Counter : 1915 Pageviews.

 
สงครามชีวิตที่ผ่านมา
บางครั้งอาจเหนื่อยล้าและท้อถอย
วันคืนที่ผันผ่าน
ผิดชอบชั่วดีที่พานพบ
หลายครั้งอาจสร้างความเจ็บปวดทางใจ
อย่างแสนสาหัส
แต่ในท้ายที่สุด
ชีวิตก็ต้องก้าวข้ามไปให้ได้

ลมหายใจที่เหลืออยู่
อาจแผ่วเบาและใกล้ตาย
จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความล้มเหลว
และลุกขึ้นสู้กับมันอย่างอาจหาญเถิด
เพื่อว่าสักวันโลกจะได้บันทึกไว้ว่า

"ความตายจะไม่เกิดกับคนที่กล้าต่อสู้อย่างแท้จริง!!


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 27 กันยายน 2551 เวลา:22:36:20 น.  

 
คัดจากไทยโพสต์



ค้นหาข่าวที่ต้องการ



ข่าวหน้า 1
วิเคราะห์การเมือง
ต่างประเทศ
สิ่งแวดล้อม
รถยนต์
ไอที
กีฬา
คอลัมน์
- ตำนานประชาธิปไตย
- ข่าวเด็ด
- อินไซด์โหรา
- บังอบายเบิกฟ้า
- ความทรงจำนอกมิติ


Best view with




คอลัมน์ - ความทรงจำนอกมิติ
สุดท้าย-จะพบว่าฟ้าให้มาอยู่ที่นี่ทำไม?


28 กันยายน 2551 กองบรรณาธิการ

ที่ยกมาเป็นหัวข้อบทความของวันนี้ ตอนแรกดูจะตรงกับข้อคิดและข้อเขียนของผู้เขียนที่เขียนมาตลอดหลายปีมานี้ เช่น บทความเมื่อเร็วๆ นี้


ในเรื่องแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล หรือข้อบ่งชี้ทางคณิตศาสตร์ - ในหลักการที่เรียกว่าหลักการ มนุษย์จักรวาลวิทยา (cosmological anthropic principle) - ที่โต้แย้งไม่ได้ ทำให้นักฟิสิกส์จำนวนมากจำนวนหนึ่งเชื่อมั่นว่า จักรวาลคาดหวังไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องมีมนุษย์ขึ้นอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ แต่พร้อมๆ กันนั้นก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักวัตถุนิยมอึดอัดใจ เพราะว่าไม่เชื่อแต่เถียงไม่ได้ จริงๆ แล้วที่ยกมานั้นเป็นคำพูดของสจวต คอฟแมน นักวิจัยชื่อดังที่เป็นนักชีววิทยาคนหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ใช่นีโอดาร์วินิสต์ (Stuart Koffman: At Home In the Universe, 1997) นั่น-ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเซอร์อาเธอร์ เอดดิงตัน นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลที่พูดว่า "เมื่อเราสำรวจเกาะที่เราเพิ่งค้นพบใหม่ๆ และพบรอยเท้าที่เหยียบย่ำอยู่ที่ชายหาด ปรากฏว่ามันเป็นรอยเท้าของเราเอง" (cited by Michael Talbot in Beyond Quantum, 1989) เหมือนกับว่าโลกเป็นสมบัติของมนุษย์ที่มาในโลกเมื่อไรก็ได้ กระนั้นซึ่งทำให้ต้องคิดต่อไปว่า หรือฟ้ากำหนดให้เป็นเช่นนั้น?

หากว่าความจริงเป็นเช่นนั้น ตามที่ผู้เขียนเชื่อและเอามาเล่าอย่างมีหลักฐานนั่น-เราก็ต้องเอามาคิดต่อไปตามที่เราเป็นคนขี้สงสัย อย่าได้คิดว่าความขี้สงสัยไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือคิดไปเองโดยไม่มีเหตุผล เหตุผลมีเพียบ

- ดังที่เป็นปรัชญาทั้งของตะวันออกและตะวันตกมานาน เช่นปรัชญาที่ผู้เขียนเรียกว่า ปรัชญาสากลนิรันดร (perennial philosophy)- เนื่องจากมนุษย์หลงตัวเองหลงความสำคัญของตัวเอง (narcisism) คิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล (anthropocentric) - ที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว "ตัวกูของกู" ('I'-ness or Self) ซึ่งเกิดจากจิตที่วิวัฒนาการมาได้เพียงครึ่งทางอีกที

จริงๆ แล้วนักจิตวิทยาหลายคนเชื่อที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า มนุษย์เราเริ่มต้นด้วยจิตที่วิวัฒน์จากจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาลมาเป็นจิตใต้สำนึกพื้นฐาน ที่คาร์ล จุง เรียกว่าไซคี (psyche) ที่ต่อมาวิวัฒนาการเป็นจิตที่มองธรรมชาติรอบๆ ตัวเป็นเสมือนเป็นปาฏิหาริย์ (magic) ตลอดช่วงเวลาที่ไล่ล่าสัตว์เป็นอาหาร (Homo neanthelal-cromagnon) ก่อนที่จะรู้จักการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง และเริ่มมีวิวัฒนาการของจิตมาถึงระดับมิทธิค (mythic)

- ราวๆ 12,000 ปีก่อน - ในช่วงต้นๆ ของยุคการตั้งถิ่นฐานหลักแหล่ง โดยมีนิยายปรัมปรามาใช้อธิบายธรรมชาติรอบตัวแทนเทพเทวาหลากหลาย ที่ให้ปาฏิหาริย์ในระดับจิตก่อนหน้านั้น เราจงอย่าลืมว่า มนุษย์ได้มีวิวัฒนาการของรูปกาย หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยาจบสิ้นแล้วตั้งแต่มนุษย์ (Homo sapiens) คนแรกได้อุบัติขึ้นในโลก แต่จิตที่มีวิวัฒนาการที่ช้ากว่ารูปกาย - และมีเป้าหมายสุดท้ายที่จิตวิญญาณ (spirituality) ไล่ไปถึงนิพพาน

-ยังไม่มีวิวัฒนาการเท่าๆ กับวิวัฒนาการทางชีววิทยาหรือทางกายภาพ มีเพียงจิตที่วิวัฒน์ผ่านพ้นจิตใต้สำนึกพื้นฐานใหม่ๆ ซึ่งเป็นจิตของปัจเจกที่เป็นหนึ่งเดียวกับจิตโดยรวม (เรียกว่าจิตชุมชน Comm-unity) ส่วนจิตที่วิวัฒนาการสู่ความมีตัวตนของแต่ละคนเป็นปัจเจก (separate-Self or personhood) นั้น มาทีหลังตามวิวัฒนาการของจิตเป็นชั้นๆ ขณะนี้เราอยู่ที่ระดับที่สี่ หรือระดับตัวกูของกูที่เรามีในปัจจุบันโดยเฉลี่ย (Self-egoic rational) จิตที่มีเทพเจ้าที่เป็นชาย การบูชายัญและทำสงคราม จิตแห่งเวทนาอุปาทานกับกิเลสตัณหาที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ 8,000 ปีก่อน (Ken Wilber: Up From Eden, 1981) แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยเหตุผลกับวิทยาศาสตร์เก่า ที่จริงเราควรมีวิวัฒนาการของจิตไปสู่ขั้นที่สูงกว่านี้นานมาแล้ว ถ้าหากเราไม่ถูกนำทางผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก การถูกนำทางที่ผิดก็เพราะหลักการแยกส่วนที่ตั้งบนวัฒนธรรมกับเชื้อชาติและภาษา ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นประหนึ่งตัวแทน (substitute) ที่มนุษย์ยึดถือแทนพระเจ้าเทพเทวาในเวลานั้น เราได้มีพฤติกรรมเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยการหาตัวแทนที่เป็นกายเป็นวัตถุ (objective) แทนที่จะแสวงหาสัทธรรมความจริง (subjective) หรือพระเจ้าเทพเทวดา หรือเพื่อเสียสละตัวเอง หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสู่ความจริงแท้หรือจิตวิญญาณ (transformation to transcendence, or spirituality)

นั่นคือความสำคัญที่สูงที่สุด - ที่ผู้อ่านจะต้องอ่านซ้ำและต้องเข้าใจในเรื่องที่ผู้เขียนกล่าวมานั้นอย่างแจ่มแจ้ง - ของบทความของวันนี้ หรือคำว่าสุดท้ายแล้ว - เราจะพบว่าทำไมฟ้าถึงให้เราเกิดมาอยู่ที่นี่จริงๆ อย่าลืมว่า นักปรัชญาและนักจิตวิทยาส่วนใหญ่ส่วนหนึ่ง ทั้งทางตะวันออกและทางตะวันตก ทั้งในสมัยเก่านับเป็นพันๆ ปีมาแล้ว หรือในปัจจุบัน ต่างล้วนมีความเห็นว่าฟ้าส่งมนุษย์เราให้มาอยู่ที่นี่ มาอยู่ที่นี่เพื่อวัตถุประสงค์ใดหรือ? ก็เพื่อเดินทางให้จิตที่อยู่ในร่างกายของสัตว์โลก รวมทั้งมนุษย์สามารถวิวัฒนาการของจิตไล่สูงขึ้นไปตามขั้นหรือระดับของสเปกตรัม จนพบรู้และเข้าใจความจริงของจักรวาล (แห่งสัทธรรม) ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ไล่ต่อไปถึงพระเจ้า นิพพานหรือเต๋าหรือในชื่ออื่นๆ ในศาสนา หรือลัทธิความเชื่อต่างๆ (ที่สำหรับผู้เขียนคือหนึ่งที่เป็นทั้งหมด) นั่นเอง ที่สำคัญในขณะนี้คือ ไม่เพียงแต่นักปรัชญาและนักจิตวิทยาส่วนมากส่วนหนึ่งที่มีความเห็นเช่นนั้นเท่านั้น แต่ทว่านักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์และนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนไม่น้อย (ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว) ต่างก็มีความเห็นเช่นนั้นเช่นกัน

ผู้เขียนทั้งเชื่อและนับถือเคน วิลเบอร์ มาก ในฐานะที่เป็นผู้รอบรู้เรื่องของจิตและจิตวิญญาณอย่างแท้จริง หมอลารี ดอสซี อดีตบรรณาธิการวารสารแพทย์ทางเลือกของเอ็นไอเอชและนักเขียนที่มีชื่อเสียง บอกว่าหนังสือเล่มที่ชื่อ เพศ นิเวศวิทยา และจิตวิญญาณ (Sex Ecology and Spirituality) ของเคน วิลเบอร์ เป็นหนังสือที่ยอดเยี่ยมที่สุดเล่มหนึ่งที่โลกเคยตีพิมพ์มา โรเจอร์ วอลซ์ จิตแพทย์และนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ เทียบหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าได้กับงานเขียนของเฮเกล และศรี อรพินโธ ทีเดียว ส่วนอเลสแดร์ แมคคินไทร์ นักปรัชญามีชื่อบอกว่า หนังสือเล่มดังกล่าวสำหรับตัวเขาที่เคยคิดว่า งานเขียนของอริสโตเติลและนีตส์เชอยู่เหนืองานเขียนของใครทั้งหมด ยอมรับว่าถึงวันนี้เขาจะต้องนับหนังสือดังกล่าวของเคน วิลเบอร์ เข้าไปด้วยอีกเล่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 1997 ไปแล้ว (the Eye of Spirit) เท่าที่ผู้เขียนได้อ่านผ่านตามาบ้าง (เพียงสามเล่ม) ในความเห็นของผู้เขียนเอง ก็ไม่มีหนังสือเล่มอื่นใดของเคน วิลเบอร์ ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าแม้แต่ครึ่งหนึ่งของหนังสือเล่มดังกล่าวได้ หรือครึ่งหนึ่งของสเปกตรัมของจิต อันเป็นหนังสือเล่มแรกได้ ซึ่งก็น่าเสียใจ บทความของวันนี้ส่วนสำคัญได้มาจากหนังสือของเคน วิลเบอร์ เล่มต่างๆ ที่ได้อ้างไปแล้วข้างบน

ก่อนอื่นควรเข้าใจคำว่า โลกทัศน์ (worldview) เสียก่อนว่าเราเข้าใจว่าอย่างไร? เข้าใจเหมือนนักปรัชญาหรือจิตวิทยา หรือนักวิชาการที่เรานับถือว่ารู้รอบหรือไม่? ผู้เขียนแม้จะอ่านหนังสือมามาก ทั้งยังได้เขียนหนังสือหนักๆ มานาน แถมยังมีอายุและมีประสบการณ์มามากแล้ว แต่รู้ตัวดีว่ายังห่างไกลจากการรู้รอบมากเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร อย่างไรก็ตาม ในความคิดส่วนตัวเท่าที่ได้อ่านมาอาจสรุปได้ว่า โลกทัศน์อาจแปลได้ว่า การมองโลกแห่งชีวิตกว้างๆ ด้วยความคิดเห็นลึกๆ เชิงปรัชญาที่รับรู้เป็นประสบการณ์ (ด้วยประสาทสัมผัสภายนอกทั้งห้า หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส) ที่มนุษย์เราแต่ละคนมองเห็นในช่วงเวลาหนึ่งใด สำหรับผู้เขียน โลกทัศน์ที่เป็นเรื่องของเราแต่ละคนนั้นแตกต่างเล็กน้อยกับคำว่ากระบวนทัศน์ (paradigm) ที่เราโดยรวมมองโลกเห็นสังคมของมนุษย์ในเวลาหนึ่งเวลาใด แต่ในข้อเขียนทั่วไปอาจใช้แต่คำว่าโลกทัศน์รวมๆ ไปก็ได้ จริงๆ แล้วคำว่าโลกทัศน์มาจากคำที่นักคิดโบราณ - ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร - ทั้งทางตะวันออกและตะวันตกที่มองเห็นที่มาของชีวิตเหมือนๆ กัน และเชื่อมโยงต่อเนื่องกันประหนึ่งเป็นห่วงโซ่ (a great chain of being a la Leibnitz) ที่ประกอบด้วยข้อต่างๆ คือ ดิน ชีวิต ฟ้า ที่เพิ่มเป็นสสาร ชีวิต มนุษย์ จิตและจิตวิญญาณ (พระเจ้า) ซึ่งเคน วิลเบอร์ และผู้ค้นคว้าเรื่องของจิตแทบจะทุกคนรวมทั้งผู้เขียน - ที่คิดและเชื่อตามพวกเขาเช่นนั้น - จึงเอามาเขียนบ่อยๆ

จากฟ้าหรือพระเจ้าเทพเทวาสู่ชีวิตและมนุษย์ หรือจากห่วงโซ่ของชีวิตสู่โลกทัศน์และกระบวนทัศน์ เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่านักคิดนักปราชญ์ในยุคหิน ยุคหอย ทองเหลือง หรือในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งเห็นพ้องต้องกันว่า มนุษย์แยกจากฟ้าจากสวรรค์ และจากเทพเทวดาหรือจิตวิญญาณไม่ได้ เท่าๆ กับเราแยกจากดินจากสัตว์ จากรากแก้วของชีวิตไม่ได้ ทั้งหมดมีเหตุปัจจัยที่ต้องอาศัยกันและกันเป็นอิทัปปัจจยตา เหมือนกับโซ่เส้นเดียวกันดังที่อภิมหาปราชญ์อัลเฟรด นอร์ท ไวต์เฮด กล่าวว่า "จริงๆ แล้ว กฎแห่งฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ที่เรารู้เราเรียนมาทุกๆ กฎโดยไม่ยกเว้น ล้วนได้มาจากศาสนศาสตร์ หรือเรื่องของพระเจ้าจิตวิญญาณ" (Alfred Whitehead: Science & Modern World, 1967) ในที่นี้ เรา-ผู้อ่านทั้งหลายจงเข้าใจว่า คำว่าพระเจ้าเทพเทวานั้น มิได้หมายถึงพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่อันไม่มีที่สิ้นสุด และแยกออกไปจากทุกสรรพสิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์ออกไปต่างหาก แต่ต้องเข้าใจว่า พระเจ้าเทพเทวาหรือมีชื่อที่เรียกหาว่าอย่างไรอื่นก็ตามนั้น ไม่ได้ยินแยกออกไปจากสิ่งที่สิ้นสุดทั้งหลายที่พระองค์ทรงสรรค์สร้างขึ้นมา รวมทั้งชีวิตและมนุษย์เรา หากแต่พระองค์ - ไม่ว่าจะอยู่ในชื่อหรือถูกเรียกหาว่าอะไร - หรือฟ้านั้น ก็ใช่ว่าจะแยกกันอย่างเด็ดขาดจากมวลสรรพสิ่งปรากฏการณ์ แท้ที่จริงแล้วนั่นคือเป้าหมาย และความหมายของการดำรงอยู่ของมวลชีวิตและของมนุษย์เราทุกๆ คน ท่านผู้อ่านที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ลองตอบดูซิว่า หนึ่ง ความหมายหรือเป้าหมายของชีวิตท่านมีหรือไม่? และสอง ไม่ว่าท่านจะมีหรือไม่มี ในฐานะที่ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ความหมายและเป้าหมายของท่าน จะตรวจ ชั่ง วัด หรือตวงหาปริมาตรด้วยวิธีใด?

ก็ขอย้ำว่า ชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คนมีทั้งความหมายและเป้าหมาย และเป็นความหมายและเป้าหมายที่สุดจะยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ล้อเล่นหรือหลงเพลินไปกับมันด้วย เวทนาและอารมณ์ในขณะหนึ่งขณะใดโดยคิดว่าเป็นของเรา เราจึงคิดจะทำอะไรกับมันก็ได้หรือเซ็งจนฆ่าตัวตาย ในความเห็นของผู้เขียนนั้น จักรวาลนี้เป็นจักรวาลแห่งวิวัฒนาการเป้าหมายและความหมาย ดูได้เข้าใจได้จากพลวัตของการไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงโดยเชื่อมโยงกัน นั่นคือธรรมชาติที่ว่ายเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ตายไปแล้วก็ไม่สิ้นสุด แต่ละชีวิตจึงมีความหมายและเป้าหมายที่รูปกายก่อนและจิตวิญญาณทีหลัง วิวัฒนาการจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ หยาบก่อนถึงมาละเอียด อาหาร การสืบสายพันธุ์ และความมั่นคงปลอดภัย (กาย) จึงมาก่อน - วัยสิบห้าหยกๆ สิบหกหย่อนๆ และวัยหนุ่มสาว - แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จตามนั้น มันก็จะผ่านไปด้วยเวลาโดยธรรมชาติ (block potential and model imperative) แต่ความหมายและเป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือวิวัฒนาการทางจิต โดยเฉพาะจิตวิญญาณที่มาหลังกาย การเรียกร้องที่จะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ เมื่อเรา อิ่ม มีลูก ปลอดภัย (กาย) และพอใจแล้ว - จากปัจเจกสู่สังคมโดยรวม - ซึ่งตกในวัยกลางคนล่วงแล้วเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะตามมาด้วยวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ - ความปลอดภัยภายในที่ไอน์สไตน์บอกว่าเป็นพื้นฐานของชีวิตที่สำคัญที่สุด - ในช่วงวัยที่อาจไกลไปกว่านั้น นั่นคือเป็นการเรียกร้องของฟ้าที่ไม่มีใครที่จะขัดขืนได้เลย


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 28 กันยายน 2551 เวลา:4:18:28 น.  

 
ตั๊กม้อ







" ตราบใดที่ยังยึดติดอยู่กับการเกิดการตาย ย่อมไม่มีทาง
รู้แจ้งได้ การจะรู้แจ้งได้นั้น ผู้นั้นต้อง เห็นแจ้ง ใน ธาตุแท้
ของตัวเองให้ได้ก่อน การไม่เห็นแจ้งใน ธรรมชาติที่แท้แห่งตน
แล้วพูดพล่ามเรื่องธรรมะ เรื่องกฎแห่งกรรมจึงเป็นสิ่งไร้สาระ
พุทธะย่อมไม่ฝึกอะไรที่ไร้ประโยชน์ พุทธะไม่ยึดติดในกรรม
และผลของกรรม การพูดว่าพุทธะได้บรรลุอะไรบางอย่าง
เป็นการดูแคลนพุทธะโดยแท้ "


- ตั๊กม้อ -





ศาสนาพุทธได้เข้ามาเผยแพร่ในจีนก่อนตั๊กม้อเดินทางมาถึงประเทศจีน เป็นเวลา
หลายร้อยปี มีการแปลคัมภีร์ศาสนาพุทธจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนออก
มามากมาย แต่เซนก็ไม่เคยถือกำเนิดก่อนหน้าตั๊กม้อนั่นอาจเป็นเพราะมี ความ
แตกต่างทางวัฒนธรรมจิตวิญญาณ ค่อนข้างมาก ระหว่าง จิตลักษณะแบบจีน
กับ จิตลักษณะแบบอินเดีย จึงทำให้ก่อนหน้าตั๊กม้อ ศาสนาพุทธยังเป็นแค่
ศาสนาต่างชาติ สำหรับสังคมจีนอยู่ดี แม้จะมีคำสอนอันล้ำลึกและน่าสนใจ
อยู่มากก็ตาม




จะว่าไปแล้วเซนบังเกิดขึ้นมาได้เพราะเป็นผลลัพธ์ของการหลอมรวม กันระหว่าง
ศาสนาพุทธของอินเดียกับวัฒนธรรมจีน หรือเป็นผลที่ได้มาจากการหลอม รวมกัน
ระหว่างจิตลักษณะแบบจีนกับจิตลักษณะแบบอินเดียนั่นเอง ซึ่งกลายออก มาเป็น
ผลงานอันล้ำเลิศ ซึ่งรวมปมเด่นของสองวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน
อย่างที่ประเทศอินเดียซึ่งเป็นมาตุภูมิของศาสนาพุทธแท้ ๆ ก็ยังให้ กำเนิดนิกายอย่าง
เซนออกมาไม่ได้โดยตรง อย่างดีก็ให้กำเนิดยอดคนและยอดครู อย่างท่านนาคารชุน
ซึ่งทั่วโลกยอมรับว่าเป็นมหาบุรุษของ ศาสนาพุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หลังการเสด็จ
ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเท่านั้น




ถัดจากท่านนาคารชุนลงมา ท่านโพธิธรรม ตั๊กม้อ ถือว่า เป็นยอดคนรุ่นหลัง
ที่โดดเด่นที่สุด ตามตำนานว่ากันว่า ท่านเป็นโอรสของกษัตริย์เมืองหนึ่งทาง
อินเดียตอนใต้ ความที่ท่านมีสติปัญญาล้ำเลิศเหนือคนธรรมดา ทำให้ตั้งแต่วัยหนุ่ม
ท่านก็สามารถมองทะลุถึงความจริงทางโลก ว่าไม่มีใครรอดพ้นความตายไปได้
ต่อให้ ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม ด้วยเหตุนี้ท่านจึงหันมาสนใจเรื่องศาสนา
หรือเรื่อง จิตวิญญาณตั้งแต่วัย หนุ่มจนถึงกับตัดสินใจออกบวชเพื่อแสวงหาหนทาง
ในการหลุดพ้น




ว่ากันว่า คุรุของเจ้าชายโพธิธรรมที่ช่วยให้พระองค์ทรงมีดวงตาเห็นธรรม ได้
มิใช่บุรุษ แต่เป็นสตรีใช่ภิกษุ แต่เป็นภิกษุณีรูปหนึ่ง และนางเองเป็นคนสั่ง
ให้ศิษย์ของนางหรือพระโพธิธรรมออกไปเผยแพร่ธรรมที่ประเทศจีน เพราะแม้ศาสนา
พุทธได้เข้ามาเผยแพร่ในจีนอยู่ก่อนแล้วกว่าหกร้อยปีก่อนที่ตั๊กม้อหรือท่านโพธิธรรม
จะไปถึง แต่สิ่งที่เข้ามานำมาเผยแพร่นั้น มันเป็นแค่ พุทธศาสตร์ เท่านั้น ยังหาใช่
พุทธธรรมไม่ เนื่องเพราะผู้ที่เข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาในจีนก่อนหน้าตั๊กม้อนั้น
แม้เป็นผู้รอบรู้ในพระไตรปิฎกก็จริง เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เปี่ยมไปด้วยความ
เมตตาก็จริง แต่ก็ยังมิใช่บุคคลที่สามารถถ่ายทอดพุทธธรรมของพุทธะได้




ตอนที่พระโพธิธรรม หรือตั๊กม้อเดินทางไปถึงประเทศจีนนั้น ทั่วประเทศ จีนมีวัด
ของศาสนาพุทธอยู่แล้วถึงสามหมื่นกว่าแห่ง และมีจำนวนพระสงฆ์ที่บวชแล้ว
อยู่ถึงสองล้านรูป ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยเลย แม้พิจารณาจากมาตรฐานของยุคนี้อาจ
กล่าวได้ว่า ตั๊กม้อมาถึงเมืองจีนในช่วงเวลาที่พอเหมาะที่มีเงื่อนไขรองรับการ
ก่อกำเนิด ศาสนาพุทธนิกายเซนก็ว่าได้




คน ๆ หนึ่งที่อยู่ในเงื่อนไขที่สามารถเลือกคุรุที่เป็นภิกษุผู้บรรลุธรรมที่มี อยู่หลายรูป
แต่กลับเจาะจง เลือกคุรุที่เป็นภิกษุณีแทน และตัวเองก็สามารถบรรลุ ธรรมได้ด้วยเช่นกัน
การกระทำของคนผู้นี้ต้องการจะบอกอะไร ? ใช่หรือไม่ว่า เขา คนนี้เป็นยิ่งกว่าสาวก
ของพระพุทธองค์ที่มีความกล้า มีความเป็นตัวของตัวเองสมกับเป็นปรมาจารย์แห่ง
เซนอันเป็นศาสนาพุทธที่ปรับเข้ากับวัฒนธรรมของจีน และ ซึมซับส่วนที่เป็นแก่นเป็น
หัวใจของวัฒนธรรมจีน ซึ่งก็คือ เต๋า เข้ามาไว้ในตนได้อย่าง กลมกลืน


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 28 กันยายน 2551 เวลา:9:23:08 น.  

 
สวัสดีค่ะ


โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 28 กันยายน 2551 เวลา:21:16:08 น.  

 


บทสนทนากับจักรพรรดิ์อู๋ตี้




การเดินทางจากอินเดียไปยังจีนของตั๊กม้อใช้เวลานานถึงสามปี กว่าที่ท่าน จะได้เข้า
เฝ้าจักรพรรดิอู๋ตี้ ผู้มีความเลื่อมใสในปรัชญาศาสนาพุทธเป็นอย่างยิ่ง เพราะ พระองค์
เป็นผู้สนับสนุนและระดมนักวิชาการนับจำนวนหลายพันคนแปลคัมภีร์ ศาสนาพุทธ
เป็นภาษาจีน โดยไม่เสียดายราชทรัพย์จำนวนมหาศาลที่พระองค์ทุ่มเท ให้กับศาสนา
พุทธแต่อย่างใดเลย



พระผู้ใหญ่ที่องค์จักรพรรดิได้พบก่อนตั๊กม้อนั้นล้วนสรรเสริญการกระทำ ของพระองค์
ทั้งสิ้นว่า เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตจะต้องได้เป็นพรหมในสรวงสวรรค์ แน่นอน
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่คำถามแรกที่องค์จักรพรรดิอู๋ตี้ทรงตรัสถาม
ปรมาจารย์ตั๊กม้อยามแรกพบ จึงเป็นคำถามดังต่อไปนี้



" ตัวข้าอุทิศราชทรัพย์และอำนาจทั้งหมดที่ข้ามี
รับใช้ศาสนาพุทธ ในการสร้างวัดและแปลคัมภีร์
ถึงขนาดนี้แล้วในชาติหน้าข้าจะได้ เกิดเป็นอะไร
และตัวข้าจะได้รับผลบุญอะไรบ้าง ? "




อันที่จริงอาจกล่าวได้ว่า องค์จักรพรรดิอู๋ตี้รู้สึกผิดหวังและผิดคาดในตัว
ของตั๊กม้อนับแต่ทรงแรก



เห็นแล้ว เพราะในความคิดคำนึงของพระองค์ พระพุทธ ควรจะมีใบหน้าที่เปี่ยม
ไปด้วยความอ่อนโยนมีเสน่ห์ดึงดูด น่าประทับใจ น่าเคารพ ศรัทธาเพียงแค่ได้แลเห็น
ดุจเดียวกับพระพุทธรูป แต่ตั๊กม้อที่พระองค์ได้พบและได้ยิน คำร่ำลือมาก่อนได้เจอ
ตัวจริงเสียอีกว่าเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว กลับมีใบหน้าที่ออกจะ เรียกได้ว่า น่ากลัวเสีย
ด้วยซ้ำ แต่แม้กระนั้นองค์จักรพรรดิ์ผู้เปี่ยมไปด้วยศรัทธาใน พุทธศาสนา ก็ทรงตัด
สินพระทัยตรัสถามคำถามข้างต้นที่อยู่ในใจของพระองค์มานาน ต่อตั๊กม้อ



เมื่อตั๊กม้อได้ยินคำถามข้างต้นของจักรพรรดิอู๋ตี้ เขารู้ทันทีว่าจักรพรรดิ ผู้เปี่ยมไป
ด้วยศรัทธาพระองค์นี้ ยังไม่เข้าใจพุทธธรรม เขาจึงพยายามช่วยพระองค์ ด้วยการ
ตอบที่ฟังแล้วน่าตื่นตระหนกในสายตาของคนทั่วไปว่า



" ผลบุญรึไม่มีหรอก ดีไม่ดีอาจตกนรกด้วยซ้ำ "



" แต่ข้าไม่เคยทำบาปอะไรนี่นา ทำไมถึงต้องตกนรกด้วยเล่า
ที่ผ่านมาพวกพระผู้ใหญ่บอกให้ข้าทำบุญอะไร
ข้าก็ทำตามทุกอย่าง ไม่เคยอิดออดเลยนี่
ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าทำไม่ดีตรงไหน "




" ตราบใดพระองค์ไม่รู้จักฟัง เสียงจากภายใน ของพระองค์เอง
ตราบนั้นก็ไม่มีใครหรืออริยบุคคลผู้ไหนจะช่วยพระองค์ได้หรอก
ขณะนี้ พระองค์ยังไม่ได้ฟังเสียงจากภายในพระองค์เอง
เพราะถ้าฟัง พระองค์คงไม่ถามคำถามที่เขลาเช่นนี้กับอาตมา "



" ........................................................................ "



" ฝ่าบาทขอทรงโปรดรับฟังสิ่งที่อาตมาจะพูดต่อไปนี้ให้จงดี
อันวิถีของพระพุทธะนั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ผลบุญหรอก
เพราะตัวความปรารถนา ที่จะได้ผลบุญนั้น
มันมาจากใจที่ยังโลภอยู่ แต่ คำสอนของพระพุทธะคือ
คำสอนที่ให้ไร้ใจ ไร้โลภ ไร้ความอยาก เพราะฉะนั้น
ถ้าหากยังทำดีหรือทำบุญ โดยหวังผลตอบแทนอยู่แล้ว
ผลบุญที่ได้จึงน้อยนิด หรือไม่ได้เลย "



" .................................................................................... "



" ตรงกันข้าม หากฝ่าบาททรงทำดีโดยหวังเผื่อแผ่ความปลื้มปิติ
ในการได้ลิ้มรสพระธรรมไปให้ ปวงประชาของฝ่าบาท
ได้ร่วมลิ้มรสด้วย โดยไม่คาดหวังผลบุญตอบแทนใด ๆ
การกระทำอย่างน้ นของฝ่าบาทย่อมกลายเป็นผลบุญโดยตรง "





" ใจข้าเต็มไปด้วยความคิด หมกมุ่นอยู่แต่ในความคิด
ไม่เคยสงบเลย ข้าจึงไม่เคยได้ยินเสียงจากภายใน
ที่ท่านเอ่ยถึงและไม่รู้วิธีด้วย "





" ถ้าเช่นนั้น ตอนตีสี่วันพรุ่งนี้ ขอพระองค์เสด็จมาที่
ที่พำนักของอาตมาที่วัดบนภูเขาชานเมือง แต่มีข้อแม้ว่า
พระองค์ต้องเสด็จมาลำพังโดยไม่พาองครักษ์มาด้วย "
__________________


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:8:14:52 น.  

 


ประสบการณ์ทางวิญญาณ



ทั้ง ๆ ที่ทรงไม่แน่ใจและกริ่งเกรง แต่จักรพรรดิอู๋ตี้ก็ทรงเสด็จไปหาตั๊กม้อ ที่วัดชานเมือง
เพียงลำพังตามนัด คืนนั้นพระองค์มิได้บรรทมทั้งคืน เพราะทรงลังเล อยู่ว่า ควรเสด็จไป
หรือไม่ไปดี แต่พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปในที่สุด



เท่าที่ผ่านมา พระองค์ได้เจอ " ผู้รู้ " จากชมพูทวีปมากมาย รวมทั้งได้รับ การถ่ายทอด
อุบายวิธีต่าง ๆ ในการทำให้จิตสงบ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงลองปฏิบัติตาม อยู่พักหนึ่ง
แล้วเลิกเสีย เพราะพระองค์ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางวิญญาณที่เข้าถึง ความสงบแห่ง
จิตใจอย่างดื่มด่ำเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว



ตั๊กม้อยืนรอจักรพรรดิอู๋ตี้ที่ลานวัดอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่รอช้าท่านสั่งให้ จักรพรรดินั่ง
ขัดสมาธิหลับตาอยู่เพียงลำพังพระองค์เดียว ณ ลานกว้างของวัด พร้อม กับกำชับว่า



" ฝ่าบาทจงหลับตา หน้าที่ของฝ่าบาทในตอนนี้มี
อยู่เพียงอย่างเดียวคือ ค้นหา ใจ ให้เจอ และคว้าจับ ใจ ให้ได้
อาตมาจะถือไม้เท้านั่งอยู่ตรงหน้าฝ่าบาทนี้แหละ
หากฝ่าบาทพบใจ และคว้าจับใจได้เมื่อไหร่
ก็ให้รีบบอกอาตมาเดี๋ยวนั้นเลย หลังจากนั้นเป็นหน้าที่
ของอาตมากับไม้เท้าอันนี้ ที่จะทำให้ฝ่าบาทเข้าถึงความสงบได้ "



ทั้ง ๆ ที่ทรงรู้อยู่แก่พระทัยว่า ตั๊กม้อผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวอะไร และคงกล้าตีพระองค์ด้วย
ไม้เท้าหากจำเป็น แต่พระองค์ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วจึงต้องหลับตา นั่งขัดสมาธิ ทำการ
ค้นหา ใจ ของพระองค์เองตามที่ตั๊กม้อบอก แต่ไม่ว่าจะค้นหา เท่าไหร่ก็หาไม่พบ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากแล้ว นานจนกระทั่งใจที่ตอนแรกยังฟุ้งซ่านอยู่ขององค์จักรพรรดิ
ค่อยๆ สงบลง และ " การตระหนักรู้ " ได้เข้ามาแทนที่ใจ ที่ค่อย ๆ ดับไปแล้วนั้น



ขณะนั้น พระอาทิตย์ได้โผล่ขึ้นทอแสงเหนือยอดเขาอันสงบงัน ลมพัด เอื่อยๆ เย็นสบาย
พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิอู๋ตี้สงบนิ่ง ดุจรูปปั้นอย่างที่ไม่เคย ปรากฏมาก่อน พระวรกาย
ของพระองค์สั่นเทิ้มเล็กน้อย ด้วยปิติที่เพิ่งได้เข้าถึง " ความตระหนักรู้ " ของพระพุทธะ
เป็นครั้งแรกในชีวิตของพระองค์



ตั๊กม้อเอ่ยปากถามองค์จักรพรรดิว่า
" เวลาผ่านไปนานโขแล้ว ไม่ทราบว่าฝ่าบาทได้พบใจหรือไม่ "



ใบหน้าในขณะนี้ของตั๊กม้อยิ้มละไมตัดกับรูปโฉมภายนอกที่ดูดุดันน่า เกรงขาม
นี่เป็นครั้งแรกกระมังที่จักรพรรดิอู๋ตี้ได้แลเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของคุรุ ผู้ยิ่งใหญ่
ที่อยู่เบื้องหน้าของพระองค์ จักรพรรดิทรงลอบละอายพระทัยที่เมื่อแรกพบ
ทรงดูแคลนตั๊กม้อที่มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่เหมือน " คุรุในอุดมคติ " ที่ทรงเคย
จินตนา การเอาไว้



" ท่านอาจารย์ ข้ารู้แล้วว่า ไม่มีใจดำรงอยู่ที่ไหนเลย
และข้าก็เพิ่งได้ยินเสียงจากภายในของตัวข้าเองเป็นครั้งแรกด้วย
โอ ท่านทำให้ตัวข้าเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริงได้
เป็นครั้งแรกในชีวิต สิ่งที่ท่านเคยบอกข้ามันจริงทุกอย่าง
ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่า การกระทำทุกอย่างของคนเรานั้น
จะต้องเป็นผลบุญในตัวของมันเอง
ไม่มีใครอื่นมาให้คุณให้โทษแก่ตัวเราได้หรอก
ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็ตาม เพราะตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน
และตนเป็นเจ้าชะตาชีวิตของตน "



" ฝ่าบาทเป็นศิษย์ผู้เป็นเลิศคนหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง
แค่นั่งเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวกับอาตมาก็สามารถ
ตระหนักรู้ได้ถึงขนาดนี้ นับเป็นวาสนาของประเทศนี้แล้ว "



ด้วยความศรัทธาสูงสุด จักรพรรดิอู๋ตี้ทรงเชิญปรมาจารย์ตั๊กม้อให้เข้าวัง มาเป็น
ราชครูฝ่ายสงฆ์ของพระองค์ แต่ตั๊กม้อปฏิเสธ



" นั่นมิใช่ที่ไปของอาตมา อาตมาเป็นผู้รักอิสระ
อย่างมิปรารถนาให้มีสิ่งใดมาขวางกั้น
อาตมามีชีวิตอยู่แค่จากชั่วขณะหนึ่งไปยังอีกช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น
โดยไม่คิดวางแผน คาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ
และก็ไม่มีใครในโลกนี้จะคาดเดาพฤติกรรมของอาตมาได้ด้วย
สิ่งที่อาตมาได้ถ่ายทอดให้แก่ฝ่าบาทไปในวันนี้ก็น่าจะ
เพียงพอแล้ว ขอให้อาตมาไปตามทางของอาตมาเถิด "



จุดเริ่มต้นของ เซนในจีน เริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้น
__________________


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:8:18:25 น.  

 
อ่านต่อเนื่องได้จากลิ้งค์นี้ครับ



การปฏิบัติธรรมของตั๊กม้อ คลิกที่นี่


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:8:36:46 น.  

 
สวัสดียามอาหารเที่ยงค่ะ
ขอบคุณมากค่ะเสียงเพลง

เพลงเพราะแยอะเลยค่ะเราไม่เก่งค่ะเรื่องไฮเทค


สบายดีนะค่ะ
ขอให้มีแต่ความสุขนะค่ะ

มิตรคนเดิมเสมอ




วันนี้วันพระค่ะ
ขอผลบุญ
ที่ทำให้ใจสุขเสมอค่ะ

ถ้าเราไม่คิดถอย..ปัญหาไม่มีทางชนะค่ะ
ถ้าเราหยุด..ปัญหาทับเราแน่นอนค่ะ

ห่วงใยกันเสมอค่ะ


โดย: catt.&.cattleya.. วันที่: 29 กันยายน 2551 เวลา:12:00:34 น.  

 
เพลงเพราะดีคะ


รักษาใจคะ สำหรับดำเนินชีวิต


โดย: กระจ้อน วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:8:31:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.